วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

พลาสเตอร์ยา มาจากไหน?

เวลาเรามีบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ เช่น มีดบาด หกล้มผิดถลอก เป็นต้น เรามักนึกถึงพลาสเตอร์ยานำมาใช้ปิดแผล ปัจจุบันมีให้เลือกทั้งรูปแบบดั้งเดิม เป็นแบบผ้ามีรูปพรุนให้ระบายอากาศ ต่อมาเป็นพลาสติกใสกลืนกับสีผิว และยังมีลวดลายเก่ไก๋น่ารักตามความต้องการของเจ้าของแผล แล้วเราเคยสงสัยบ้างไหมว่าเจ้าพลาสเตอร์ปิดแผลนั้นมีที่มาอย่างไร
ที่มาก็คือ นายเอิร์ล ดิกสัน (Mr. Eari Dickson) ชาวมลรัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพนักงานในบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มีภรรยาเป็นแม่บ้าน ซึ่งวันๆ ก็ทำงานครัวและงานบ้าน มักประสบอุบัติเหตุจากการทำงานบ้านอยู่เป็นประจำ ยอดชายนายเอิร์ลก็ต้องคอบดูแลทำแผลให้ศรีภรรยาอยู่เสมอ จึงเกิดความคิดในการทำแผลให้สะดวกและประหยัด ด้วยการนำผ้าก๊อซใส่ยาแล้ววางบนแผ่นเทปกาว จากนั้นก็นำมาปิดที่แผล

ความคิดนี้ นายเอิร์ลเห็นว่าเข้าที จึงนำไปเสนอเจ้านายที่บริษัท ในปี ค.ศ. 1921 ซึ่งบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ก้ได้ลองผลิตเป็นแถบพันแผลแบบมีกาว ขนาดกว้าง 3 นิ้ว ยาว 18 นิ้ว ออกจำหน่าย แต่ไม่ติดตลาดเท่าที่ควร

ต่อมาในปี ค.ศ. 1924 บริษัทฯ ได้ปรับหรุงรูปแบบของแถบพันแผลจากเดิมให้เล็ก กะทัดรัด ใช้สะดวกยิ่งขึ้น พร้อมกับสร้างเครื่องจักรสำหรับการผลิตโดยเฉพาะ ตั้งชื่อผลิตภัณฑ์แถบติดแผลนี้ว่า แบนด์ เอด (Band-aid) เมื่อนำออกจำหน่ายก็กลายเป็นสินค้ายอดนิยมทำรายได้ให้บริษัทฯ อย่างมหาศาล และได้พัฒนารูปแบบให้สนองความต้องการของผู้บริโภคได้หลากหลายมากขึ้น กระทั่งบ้างก็นำมาติดตามหน้า แขน ขา ให้ดูเก๋ ทั้งๆ ที่ไม่มีแผลก็มี

ชาย 2 คน กับหน้าต่าง 1 บาน

ชายสองคนป่วยหนักทั้งคู่ ต้องเข้าพักรักษาตัวในห้องเดียวกันที่โรงพยาบาล ชายคนแรกนั้น แพทย์อนุญาตให้ลุกนั่งได้วันละ 1 ชั่วโมงในช่วงบ่าย เพื่อช่วยระบายของเหลวในปอด เตียงของเขาอยู่ริมหน้าต่างซึ่งมีเพียงอยู่บานเดียวในห้องนั้น
ชายอีกคนหนึ่ง แพทย์จัดให้นอนราบอยู่บนเตียงตลอดเวลา ชายทั้งสองคนที่อยู่ร่วมห้องเดียวกัน ได้พูดคุยกันถึงเรื่องราวชีวิตของตนเอง พวกเขาเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องภรรยา ครอบครัว บ้าน การงาน เรื่องสมัยถูกเกณฑ์ทหาร และเรื่องที่ไปเที่ยวที่ต่างๆ ในวันพักผ่อน

ทุกวันในช่วงบ่าย ชายที่นอนเตียงริมหน้าต่าง จะบรรยายให้เพื่อนร่วมห้องฟังว่า มีอะไรเกิดขึ้นภายนอกบ้าง ทำให้ชายคนที่ต้องนอนราบอยู่รู้สึกดีขึ้น จากเวลา 1 ชั่วโมงซึ่งเพื่อนผู้อยู่ริมหน้าต่างบรรยายให้ฟังถึงเรื่องราวของโลกภายนอกมันทำให้เขารู้สึกราวกับว่า เขาได้ดำเนินชีวิตตามปกติ โลกของเขาดุกว้าขึ้น และมีชีวิตชีวาขึ้น จากกิจกรรมหลากสีสันของชีวิตที่ดำเนินไปในโลกภายนอก
ชายที่ได้รับโอกาสให้ลุกนั่ง บรรยายให้ชายที่ต้องนอนราบตลอดเวลา เห็นภาพว่าภายนอกหน้าต่างนั้น เมื่อมองออกไปจะเห็นทะเลสาบที่งดงาม ฝูงเป็ดและหงส์สีขาวลอยล่องอยู่บนผิวน้ำ ในขณะที่เด็กๆ กำลังสนุกสนานกับการเล่นเรือใบจำลองลำจิ๋ว คู่รักหนุ่มสาวเดินจูงมือกันหยอกล้อกันอย่างแสนสุข ท่ามกลางดอกไม้สีสันสวยงามที่เบ่งบานอยู่โดยรอบ และหากมองไปไกลออกไปก็จะแลเห็นตึกรามอันทันสมัยในตัวเมืองอยู่ลิบๆ

ในขณะที่ชายที่นอนริมหน้าต่างบรรยายให้เพื่อนฟังถึงรายละเอียดต่างๆ ด้านนอก ชายที่นอนราบอยู่ก็หลับตาลงพลางจินตนาการเห็นภาพตามไปด้วยอย่างมีความสุข

ยามบ่ายของวันที่อบอุ่นวันหนึ่ง ชายที่นอนอยู่ริมหน้าต่างได้เล่าว่า มีขบวนพาเหรดขบวนหนึ่งกำลังผ่านมา แม้ว่าชายอีกคนจะไม่ได้ยินเสียงของวงดนตรีเลย แต่เสมืองเขาสามารถได้รับฟังและแลเห็นขบวนพาเหรดอันตระการตานั้นได้จากคำบรรยายของเพื่อนที่พรรณนาได้อย่างละเอียดลออ

วันเวลาผ่านไป จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน เช้าวันหนึ่ง เมื่อพยาบาลได้เข้าไปดุแลคนไข้ เธอได้พบร่างอันสงบนิ่งไร้วิญญาณของชายที่นอนริมหน้าต่าง เขาได้จากไปอย่างสงบขณะนอนหลับ เธอรู้สึกเศร้าและได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายฌาปนกิจมารับร่างของเขาไปจัดการตามประเพณี

เมื่อพิธีศพผ่านไปเรียบร้อย ชายที่เป็นเพื่อนร่วมห้องได้เอ่ยปากขอย้ายเตียงไปนอนที่ริมหน้าต่างแทนเพื่อนผู้จากไปของเขา พยาบาลยินดีจัดการให้ตามคำขอนั้น และเมื่อจัดที่ทางให้คนไข้เรียบร้อย เธอก็ออกจากห้องไปปล่อยให้เขานอนที่เตียงใหม่ตามลำพัง

ชายผู้ซึ่งต้องนอนราบกับเตียงมาเป็นเวลานอน ได้พยายามใช้ศอกยันตัวเองขึ้นมา แม้ว่ามันจะเจ็บปวดและยากลำบาก ด้วยความกระหายที่จะได้มองเห็นความสวยงามของโลกภายนอกด้วยตาของตนเอง และเมื่อเขายันกายขึ้นมองผ่านหน้าต่างบานนั้นไปได้ เขากลับเห็นเพียงแค่ผนังตึกว่างๆ !!! ด้วยความข้องใจ เขาได้สอบถามนางพยาบาลผุ้ดูแลเพื่อนร่วมห้องผู้เพิ่งจากไป ผู้ซึ่งได้พรรณนาถึงความงดงามของโลกภายนอกที่อยู่นอกหน้าต่างนั้นให้เขาฟังตลอดมา

นางพยาบาลเล่าว่า ชายผู้เพิ่งจากไปนั้น ที่แท้เขาได้รับบาดเจ็บจนตาบอดสนิททั้งสองข้าง ไม่สามารถแม้แต่จะมองเห็นว่ามีผนังว่างเปล่าภายนอกหน้าต่างบานนั้นด้วยซ้ำ เธอบอกว่า "ที่เขาเล่าให้คุณฟังถึงโลกภายนอกที่สวยงามนอกหน้าต่าง อาจเพราะแต่อยากให้กำลังใจแก่คุณเท่านั้น"

เรื่องนี้สอนเราว่า ยังมีเรื่องราวอีกมากมายในโลกที่เราสามารถทำให้ผู้อื่นมีความสุขได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม การเล่าเรื่องทุกข์ใจของเราให้คนอื่นได้รับรู้นั้น อย่างมากก็แค่ทำให้ความทุกข์ของเราลดไปบ้างเล็กน้อย แต่หากเราแบ่งปันความสุขให้แก่ผู้อื่น ผลคือ เราก็สุข เขาก็สุข ความสุขจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ตัวเรือด...มหาภัย


เมื่อปี พ.ศ. 2551 ข่าวดังที่เราได้ยินเกี่ยวกับรถไฟ คงไม่มีเรื่องใดดังไปกว่าเรื่อง "ตัวเรือด" ซึ่งถูกพบบนรถไฟด่วน สปรินเตอร์ ตู้หมายเลข 2522 เดินทางจากรุงเทพฯ ไปจังหวัดอุบลราชธานี และการรถไฟแห่งประทเศไทยก็ยอมรับว่ามีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริง และสัญญาว่าจะกำจัดตัวเรือดให้เรียบร้อย

หลายๆ คนก็คงสงสัยว่า ตัวเรือดเป็นอย่างไรและทำไม..ตัวเรือดถึงไปอยู่ในขบวนรถไฟได้ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักตัวเรือดกันก่อน

ตัวเรือด หรือ Bed Bug มีหลายชนิด บางชนิดกินเลือดสัตว์ บางชนิดกินเลือดคน ตัวมีลักษณะแบน ขนาดความยาวประมาณ 3-6 มม. ส่วนท้องเป็นรูปกลมยาว หัวยาว ป่องเล็กน้อย แต่ก่อนแมลงพวกนี้จะเป็นแมลงโบราณ อาศัยอยู่ตามบ้านเรือน และมนุษย์เรานี่เองที่เป็น ตัวพาหะนำพวกมันมาเคลื่อนที่

สำหรับต้นเหตุที่ทำให้ตัวเรือดแพร่กระจายบนรถไฟ คาดว่าคงติดมาจากนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้เดินทางที่ในบางครั้งไม่ค่อยพิสมัยการอาบน้ำชำระร่างกาย มีการหมักหมมเป็นเวลานานกระทั่งมีกลิ่นตัว ซึ่งนั่นแหละคือสิ่งที่ตัวเรือดชอบหนักหนา

แหล่งที่ "เรือด" ใช้เป็นที่หลบซ่อนจะเป็นตามหลืบ รอยแตก ซอกอาคาร ที่นอน เตียง พรมปูพื้น บริเวณที่แสงสว่างเข้าไม่ถึง กระทั่งเมื่อมีคนพักอาศัยหลับนอนไอความร้อนที่ออกมาจากร่างกาย จะเป็นตัวดึงดูดพวกมันออกมาดูดเลือดจากมนุษย์และสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม

เมื่อมันอิ่มลำตัวจะคล้ำลง ปากของตัวเรือดมีลักษณะโค้งงอสามารถสอดเข้าไปในร่องด้านล่างของลำตัว ขณะที่โดนกัดเหยื่อจะไม่รู้สึกตัว นั่นก็เพราะขณะดูดเลือด ปลายท่อซึ่งอยู่บริเวณปาก จะปล่อยสารที่เป็นตัวไม่ให้เลือดช็อค คล้ายยาสลบทำให้จณะโดนกัดจะไม่รู้สึกเจ็บปวด กระทั่งมีอาการคัน หากเกามากๆ จะยิ่งอักเสบและติดเชื้อซ้ำ


วงจรชีวิตและการขยายเผ่าพันธุ์ จะเริ่มอายุเฉลี่ย 6-12 เดือน โดยตัวผู้จะใช้อวันยวะสืบพันธุ์แทงตัวเมียเพื่อผสมพันธุ์ และเมื่อทำหน้าที่ผสมพันธุ์เสร็จตัวผู้จะตายทันที ส่วนตัวเมีย หลังจาก 7-14 วัน หากได้กินเลือดมันจะเริ่มวางไข่ตามซอกที่มิด วันละ 5 ใบ เป็นระยะเวลานาน 50 วัน เมื่อตัวอ่อนอายุได้ 30 วัน หากได้ดูดกินเลือดก็จะเข้าวัฏจักรใหม่อีกครั้ง แต่หนนี้ถ้ามันได้เลือดมาหล่อเลี้ยงชีวิต อายุจะยืนยาวเพียง 6 เดือนเท่านั้น และหากบริเวณที่ตัวเรือดหลบอาศัยอยู่ ไม่มีเหยื่อแวะมาให้ดูเลือด มันสามารถแฝงตัวรอได้นาน 12-18 เดือนเชียวล่ะ...


ตัวเรือดสามารถแพร่เชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้ กรณีที่ตัวเลือดไปกัดคนที่มีเชื้อดังกล่าว นอกจากนี้ยังสามารถแพร่เชื้อ ทริพาโนโซมา ครูไซ (Trypanosoma cruzi) ซึ่งเป็นเชื้อพยาธิในเลือดได้ด้วย

ตัวเรือด..เป็นภัยต่อมนุษย์ และมนุษย์ก็คือพาหะสำคัญ อีกทั้งยังเป็นปัจจัยในการแพร่ขยายเผ่าพันธุ์ วิธีกำจัดไปให้หมดนั้นเป็นเรื่องยาก ตราบใดที่เรายังต้องเดินทางไป-มาอยู่ จึงทำได้เพียงการป้องกันตัวเองไม่ให้โดนตัวเรือดกัด โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่สกปรกหรืออยู่ร่วมกับคนที่ไม่รักษาความสะอาดร่างกายหรือเสื้อผ้า เป็นต้น

ส่วนที่บ้านอยู่อาศัยของเรานั้น วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดที่จะไม่ให้ตัวเรือดมาอยู่อาศัยก็คือทำความสะอาดบ้าน นำที่นอนหทอน ผ้าห่มออกมาตากแดดบ่อยๆ ดูแลเรื่องสุขอนามัยให้สะอาดเพียงเท่านี้มันก็ไม่มาขออาศัยอยู่ และเราก็ปลอดภัยจาก.."ตัวเรือด..มหาภัย"

เอลนีโญ และ ลานีญา ปรากฏการณ์พลิกโลก


ทุกคนที่ติดตามข่าวสารโดยเฉพาะเรื่องของดินฟ้าอากาศ ต้องเคยได้ยินคำว่า เอลนีโญและลานีญา อย่างแน่นอน เรามาทำความรู้จักกับเจ้าสองคำนี้กันดีกว่าว่า หมายถึงอะไร และแตกต่างกันอย่างไร

ตามพจนานุกรมศัพท์ภูมิศาสตร์ ของราชบัณฑิตยสถาน กำหนดความหมายของ เอล นีโญ ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเมื่อกระแสน้ำเย็นเปรู บริเวณชายฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ ถูกกระแสน้ำอุ่น จากศูนย์สูตรไหลเข้ามาแทนที่ทำให้อุณหภูมิของผิวน้ำสูงขึ้น ประมาณ 10 องศาเซลเซียส และทำให้บริเวณชายฝั่งใกล้เคียง มีภูมิอากาษแปรปรวนฝนตกน้อยลง

ส่วน ลา นีญา เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในมหาสมุทรแปซิฟิคตอนใต้ แต่มีลักษณะตรงกันข้ามกับเจ้า เอล นีโญ ตรงที่ ลา นีญา เกิดจากจากลมค้าคะวันออกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิคตอนใต้ที่มีกำลังแรงมากกว่าปกติ จึงพัดพาน้ำทะเลที่พื้นผิวจากด้าน ตะวันออกของมหาสมุทร ไปสะสมกันอยู่ทางตะวันตก ส่งผลให้ชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวียอเมริกาใต้ ได้รับอิทธิพลจากกระแสน้ำเปรูรุนแรงกว่าเดิม อุณหภูมิของน้ำทะเลลดต่ำลงอย่างมาก อากาศบนพื้นดินก้แห้งแล้ง ไม่มีฝน ขณะเดียวกัน อากาศแถบชายฝั่งตะวันออกของทวีปออสเตรเลีย หมู่เกาะอินโดจีน และหมู่เกาะฟิลิปปินส์ ที่อยู่ทางด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิค กลับมีอุณหภูมิสูงขึ้น และฝนตกอย่างมากจนทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมอย่างรุนแรง

สีน้ำกับชีวิต

เพื่อนคนหนึ่ง สอนให้ฉันได้วาดรูปสีน้ำ

และบอกว่า สีที่ระบายยากสุด คือสีขาว

เพราะการเขียนสีขาวนั้น ต้องรู้จักการใช้สีเพื่อเป็น Background

เน้นให้สีขาวเด่นออกมา แต่ต้องระวัง ไม่ให้สีเน่า

ฉันถามเขาว่า ถ้าสีเน่า ควรแก้ไขอย่างไร ทาทับหรือเขียนสีซ้ำ

เหมือนกับการใช้สีน้ำมัน หรือสีอะคริลิกได้ไหม?

เขาตอบว่า ไม่ได้ หากสีเน่า หรือรูปเสีย มีอยู่วีธีเดียว คือต้องเขียนใหม่

ต้องมองดูรูป แล้วถามตัวเองว่า ทำไมจึงไม่สวย

มองให้ออก และเรียนรู้สิ่งที่พลาดไป

ฟังดูเหมือนการใช้ชีวิตของเรานั่นเอง หากเราผิดพลาดในเส้นทางที่เดิน

เราคงต้องให้เวลาตัวเองสักช่วงหนึ่ง เพื่อหยุดการก้าว

แล้วมองย้อนกลับไปในเส้นทางที่ผ่านมา เรียนรู้ข้อผิดพลาด

แล้วบอกกับตัวเอง ให้มีพลังเริ่มต้นใหม่

อย่าเพียงแค่คิดว่า การแต้มสีทับซ้ำ จะแก้ไขข้อเสียได้เสมอ

ถ้าชีวิต คือการก้าวเดินอยู่ในเส้นทางสีน้ำ

หากผิดพลาด จะปาดป้ายสีซ้ำ เดินย่ำรอยเดิมคงไม่ได้

แต่เราเรียนรู้ จากความผิดพลาด และหาทางออกใหม่ๆ

ให้กับชีวิตได้เสมอ ขอเพียงแต่ให้กล้าลงมือ

กล้าก้าว และกล้าที่จะผิดพลาด

วิธีคิด วิธีทำงาน ในวันนี้

ในวันนี้

ฉันจะเป็นมิตรกับทุกคนที่ทำงานด้วยให้มากที่สุด
จะปฏิบัติเสมือนหนึ่งว่าคนเหล่านั้นมีส่วนให้ฉันได้ทำงานที่นี่ต่อไป
และขอขอบคุณที่มีพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมงาน

ในวันนี้
ฉันจะไม่ทำตัวเป็นคนช่างตำหนิติเตียน
จะพยายามมองเห็นข้อดีในทุกสถานการณ์
และหาข้อดีมาชมเชยทุกคนในที่ทำงานด้วย

ในวันนี้
ฉันจะไม่ยืนกรานว่าทุกสิ่งฉันทำ จะต้องสมบูรณ์เพียบพร้อม
จะไม่พยายามทำลายสถิติความเร็วใดๆ
จะทำงานทุกอย่างตรงหน้าเต็มกำลังความสามารถ
แต่ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกบีบคั้นจนทุกข์ทรมาน

ในวันนี้
ฉันคิดว่าตนเองมีความสามารถพอที่จะทำงานในความรับผิดชอบ
จะไม่มัวมาตั้งคำถามอย่างไม่จบสิ้นว่า มีตำแหน่งที่เหมาะสม
และได้รับคุ้มค่าเหนื่อยแล้วหรือ

ในวันนี้
ฉันจะรู้สึกปลาบปลื้มที่ได้อยู่ในสังคมและยุคสมัย
ที่ไม่ต้องทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ ในสภาพอันโหดร้ายทารุณ
และขอบคุณที่ได้อยู่ในประเทศเสรี ที่ไม่มีใครมากะเกณฑ์ใช้งานได้

ในวันนี้
ฉันจะรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำงาน
และสุขกายสบายใจที่ไม่ต้องออกไปสู้ในสนามรบ
หรือเจ็บป่วยจนต้องรอเข้าห้องผ่าตัด

ในวันนี้
ฉันจะไม่คาดหวังให้ใครมาทำดีกับฉัน
จะไม่เปรียบเทียบรายได้หรือสถานภาพของตนเองกับผู้อื่น
จะพอใจอย่างที่ฉันเป็นอยู่

ในวันนี้
ฉันจะไม่คอยเป็นห่วงว่า “แล้วฉันจะได้อะไรจากงานนี้”
จะคิดเพียงว่า วันนี้ฉันจะเข้าไปมีส่วนช่วยในเรื่องต่างๆได้อย่างไรบ้าง

ในวันนี้
เมื่อฉันออกจากที่ทำงานฉันจะไม่มัวครุ่นคิดว่าได้ทำงานไปมากแค่ไหนหรือยัง
ทำอะไร ไม่เสร็จ แต่จะนึกถึงเวลาค่ำที่รออยู่
และรู้สึกขอบคุณสำหรับงานที่ทำสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี



ไตวาย ไม่ตายไว

ไต (รวมทั้งต่อมหมวกไตด้วย) มีบทบาทสำคัญยิ่งในการควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย การพัฒนาสมอง การสร้างกระดูก การสร้างเม็ดเลือด สมรรถภาพทางเพศ การสืบพันธ์และความชรา ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับระบบประสาทและระบบคุ้มกันด้วย


ปกติไตจะเริ่มเสื่อมลงตั้งแต่อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นความเสื่อมของร่างกายจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ส่วนจะเสื่อมเร็วช้า หรือมากน้อยจะไม่เท่ากันในแต่ละคน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปจจัยหลายอย่าง

โรคไตมีมากมายหลายชนิด บางชนิดไม่มีอาการบางชนิดอาการมาก บางชนิดปฏิบัติตนให้ถูกต้องก็หายได้โดยไม่ต้องใช้ยา บางชนิดต้องกินยาตลอดชีวิต


โรคไตวายคือภาวะที่ไตทำงานผิดปกติ ไม่สามารถขับน้ำและของเสียออกจากร่างกายได้ ทำให้ร่างกายเสียสมดุล และเลือดเป็นพิษ ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย ซึม คลื่นไส้ และเสียชีวิตในที่สุด


โรคไตวายมี 2 แบบ แบบเฉียบพลัน ซึ่งไตวายชั่วคราวสามารถฟื้นกลับมาทำหน้าที่ได้อีก หายเป็นปกติได้ และแบบเรื้อรัง ซึ่งการทำงานของไตเสียอย่างถาวรไม่สามารถทำหน้าที่ได้อีกแล้วเมื่อเป็นโรคไตวายเรื้อรังแล้วผู้ป่วยควรจำกัดอาหารบางอย่าง เช่น อาหารเค็ม อาหารที่มีโปรตีนสูง ถ้าความดันโลหิตสูงต้องคุมให้ดี ยาจะช่วยลดอาการได้บ้าง แต่ไม่มียาอะไรที่จะขับของเสียและน้ำออกจากร่างกายได้ นอกจากวิธีการล้างไต


การล้างไตปัจจุบันมี 2 วิธี


1.วิธีการล้างไตทางหน้าทอง วิธีนี้ใช้สายยางฝังไว้ในช่องท้องอย่างถาวร และใส่น้ำนาเข้าไปในช่องท้อง เพื่อล้างเอาของเสียในเลือดออก ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำยาวันละ 4-5 ครั้ง ทุกวัน วิธีนี้มีข้อดีที่ทำเองที่บ้านได้ แต่มีข้อเสียที่อาจเกิดจากการติดเชื้อในช่องท้องสูงเมื่อทำไปนานๆ และมีการสูญเสียโปรตีนออกมาทางน้ำยามากในแต่ละวัน


2.การฟอกเลือด เป็นการดูดเลือดจากผู้ป่วยไปล้างเอาน้ำและของเสียออกโดยใช้ไตเทียม (เครื่องฟอกเลือด) เลือดที่ล้างแล้วจะไหลกลับเข้ามาในตัวผู้ป่วยวิธีนี้ใช้เวลาครั้งละประมาณ 4 ชั่วโมง เพื่อที่จะให้ได้ผลดีควรฟอกเลือดสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง


ความรู้เกี่ยวกับการดุแลตนเองสำหรับผู้ที่เป็นโรคไตวายเรื้อรังและได้รับการผ่าตัด ดังนี้


1.คำแนะนำและการดูแลตนเองสำหรับผุ้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ใส่หลอดสวนชนิดชั่วคราวเพื่อใช้สำหรับฟอกเลือด

  • การใส่หลอดชนิดชั่วคราวสามารถใช้ฟอกเลือดได้ทันทีแต่ไม่ควรให้ยาป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัวเมื่อฟอกเลือดครั้งแรก

  • ระวังอย่าให้แผลหรือหลอดเลือดถูกน้ำ แต่ถ้าถุกน้ำควรไปโรงพยาบาล เพื่อเปลี่ยนผ้าทำแผลใหม่

  • ทุกๆ ครั้งที่ใช้หลอดสวนฟอกเลือดจะต้องเปิดทำแผลใหม่ทุกครั้ง และต้องตรวจสอบบริเวรที่เป็นทางออกของหลอดสวนด้วยทุกครั้ง

  • ในกรณีมราใส่หลอดสวนที่ขาหนีบไม่ควรงอพับข้อสะโพกและไม่ควรให้อับชื้นจะทำให้ติดเชื้อง่าย

  • มาตามแพทย์นัดโดยเคร่งครัด


2.การดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดเชื่อมต่อหลอดเลือดแดงและดำเพื่อใใช้สำหรับฟอกเลือด

  • หลังผ่าตัดใหม่ๆ ในสัปดาหืแรกไม่ควรขยับแขนหรือหัวไหล่ด้านนั้นมากเกินไป ควรให้แนบอยู่ข้างลำตัวไม่ควรกางแขนหรือหมุนแขนไปมา

  • หลังผ่าตัดเสร็จใหม่ๆ ไม่ควรใช้มือข้างนั้นยันพื้นเตียงเพื่อลุกขึ้นนั่งหรือเวลาย้ายเตียงจากเตียงผ่าตัดไปยังเปลเข็นผู้ป่วย

  • การใส่หลอดสวนชนิดถาวรควรใช้ฟอกเลือดหลังผ่าตัด 24 ชั่วโมง แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็สามารถใช้ฟอกเลือดได้เลย แต่ไม่ควรให้ยาป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัวขณะฟอก

  • ระวังอย่าให้แผลหรือหลอดสวนถูกน้ำ แต่ถ้าถูกน้ำควรไปโรงพยาบาลเพ่อเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่

  • ทุกๆ ครั้งที่ใช้หลอดสวนฟอกเลือดจะต้องเปิดทำแผลใหม่ทุกครั้ง และต้องตรวจสอบบริเวณที่เป็นทางออกของหลอดสวนด้วยทุกครั้ง

  • ในกรณีที่ใส่หลอดสวนที่ขาหนีบไม่ควรงอพับข้อสะโพกและไม่ควรให้อับชื้นจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย

  • มาตามแพทย์นัดโดยเคร่งครัด

จะเห็นว่าการดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยโรคไตที่ได้รับการผ่าตัดเพื่อรองรับการฟอกเลือดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ เพียงทำตามคำแนะนำของแพทยือย่างเคร่งครัดเท่านั้น




รถ "จิ๊ป" ชื่อน่ารักแต่หนักแน่น


พูดถึงรถจิ๊ป คนสมัยก่อนคงคุ้นเคยกันดีกับลักษณะของรถที่ใช้ในวงการทหาร พบบ่อยในภาพยนตร์ประเภทสงคราม เป็นรถประเภทขับตะลุยได้ทุกที่ ขึ้นเขา ลงห้วย สมบุกสมบัน แกร่งและทนทานสุดๆ ต่อมาได้มีการพัฒนารูปแบบให้เป็นรถเอนกประสงค์ให้ใช้กันได้ทั่วไป ที่เห็นวิ่งในบ้านเรา เช่น รุ่น Cherokee เป็นต้น


ความเป็นมาของรถจิ๊ป (JEEP) นั้น เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยกองทัพสหรัฐอเมริกาต้องการรถยนต์เอนกประสงค์สำหรับใช้งานทั่วไปในราชการทหาร ที่ระบุคนลักษณะเด่นๆ ว่าต้องการรถที่นั่งได้ 3 คน ความเร็ววิ่งได้อย่างน้อย 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง น้ำหนักของรถ รวมแล้วไม่เกิน 1,200 ปอนด์ น้ำหนักบรรทุกได้ 600 ปอนด์ กระจกหน้าพับได้และติดตั้งปืนกลได้ด้วย ปรากฏว่ามีบริษัทผลิตรถยนต์ร่วมเสนอประมูลหลายราย โดยบริษัท American Bantam ได้ลงมือผลิตรถต้นแบบเป็นรายแรกตัวจริง แต่กำลังการผลิตไม่เพียงพอ จึงทำให้ต่อมา กระทรวงกลาโหมสหรัฐได้จ้างบริษัท Willys Overland และบริษัท Ford (ซึ่งเป็นคู่แข่งกับบริษัท American Bantam ออกแบบและผลิตรถจิ๊ปเช่นเดียวกัน) เป็นผู้ผลิตรถยนต์ตามแบบที่ต้องการ ให้ออกแบบรถจิ๊ป Willys MB เพื่อใช้ระกว่างสงครามในการลาดตระเวร รวมทั้งใช้ลำเลียงคนเจ็บ โดยเน้นน้ำหนักรถที่เบา บังคับง่าย ซึ่งรถต้นแบบที่ผลิตขึ้นมีราคาคันละ 738.4 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ต่อมาบริษัทได้ผลิตรถจิ๊ปรุ่นดังกล่าส่งป้อนกองทัพสหรัฐฯ กระทั่งสิ้ดสุดสงครามโลกครั้งที่สอง โดยรถจิ๊ปรุ่นที่มีการผลิตจำนวนมากที่สุดถึง 639,235 คัน ระหว่างปี ค.ศ. 1941-1945 ได้แก่รุ่น Willys MB และ Ford GPW เรียกกันว่าเป็นรุ่น Hero of World War 2


ในประเทศไทยเห็นรถจิ๊ปมานานก็จริง แต่ก็เป็นรถที่สั่งซื้อจากสหรัฐฯ เพื่อใช้ในกิจการกองทัพ ส่วนรถจิ๊ปที่สั่งเข้ามาจำหน่ายสำหรับใช้งานทั่วไป เริ่มนำเข้ามาเมื่อปี 2537 ซึ่งเสียภาษีแพงมากเพราะถูกจัดให้เป็นรถ OFF ROAD ราคาจำหน่ายจึงแพงเอาการ ต่อมารัฐบาลในยุคนั้นได้ปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตของรถประเภท OFF ROAD จึงเป็นการเปิดช่องทาง ให้รถจิ๊ปได้วิ่งเฉิดฉายในบ้านเราได้มากขึ้นจวบจนปัจจุบัน ตลอดรถประเภทเดียวกันนี้มีการแข่งขันสูงมาก ค่ายรถญี่ปุ่นในประเภทเดียวกันสามารถทำตลาดได้มากกว่าเนื่องจากราคาถูกกว่า หน้าตาโฉบเฉี่ยวกว่า ราคาขายจ่อดีกว่า ศูนย์บริการและอะไหล่หาง่าย และที่สำคัญคือ ประหยัดพลังงานมากกว่า จึงทำให้ความนิยมจากค่ายรถอมเริกันเลือนหายไปเกือบสิ้น จะยังมีพอเห็นวิ่งอยู่บ้างก็ต้องเป็นเจ้าของรถที่ศรัทธาในชื่อ "จิ๊ป" และชอบที่เป็นรถสายพันธุ์อเมริกันอันหนักแน่น ทนทานจริงๆ


สำหรับชื่อ JEEP ไม่มีการะบุที่มาอย่างชัดเจน มีแต่การสันนิษฐานว่าอาจมาจากชื่อตัวการ์ตูนในเรื่องป๊อบอาบ บ้างก็ว่าอาจมาขากคำว่า general purpose ที่แปลว่าอเนกประสงค์ซึ่งย่อว่า G.P.

แต่ละวันในชีวิต ล้วนเป็นวันพิเศษ

หลายปีก่อน ฉันคุยกับเพื่อนนักเรียนเก่า ตอนนนั้นภรรยาของเขาพึ่งเสียชีวิตไม่นาน เขาเล่าให้ฟังว่า เขาพบผ้าพันคอแพรผืนหนึ่ง ขณะจัดเก็บของส่วนตัวของภรรยาเป็นผ้าพันคอที่ซื้อมาจากห้างดัง เมื่อตอนที่เขาไปเที่ยวนิวยอร์กด้วยกัน เป็นผืนแพรแบรนด์เนมสวยเก๋ ป้ายราคาแพงลิ่วยังติดอยู่

ภรรยาของเขาหวงแหนผ้าพันคอผืนนี้นักหนา ไม่ยอมเอามาใช้สักที เธอบอกว่าจะรอจนกว่า "วันพิเศษ" จะมาถึง เล่าถึงตอนนี้เขาหยุดชะงัก ฉันก็ไม่ต่อกรรบเร้าสักพักใหญ่เขาพุดต่อ "อย่าเก็บของดี ๆ รอไว้ใช้ในวันพิเศษ แต่ละวันในชีวิตล้วนเป็นวันพิเศษ"

ฉันเล่าเรื่องนี้ให้สุภาพตรีคนหนึ่งฟัง เมื่อพบกันอีกครั้ง เธอบอกว่าเดี๋ยวนี้เธอไม่เก็บชุดถ้วยชามทรงคุณค่าไว้ในตู้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เมื่อก่อนเธอคิดเสมอว่าจะนำออกมาใช้ในวันพิเศษเท่านั้น มารู้มาภายหลังว่า วันพิเศษนั้นไม่เคยมาถึงสักที

เราคิดจะสังสรรค์กับเพื่อนเก่าเสมอ แต่มักจะหยุดไว้แค่ "ไว้หาโอกาส"

เราอยากจะกอดลูกที่เติบโตแล้ว แต่มักจะรอ "จังหวะที่เหมาะสม"

เราคิดจะเขียนจดหมายถึงคนที่เรารัก เพื่อบรรยายความรักอันหอมหวาน แต่มักจะบอกตัวเองว่า "ไม่ต้องรีบ"

จริงๆ แล้ว ทุกๆ เช้าที่เราลืมตาตื่น ต้องบอกกับตัวเองว่า

"วันนี้ คือวันพิเศษ แต่ละวัน แต่ละนาที ช่างมีคุณค่าเหลือเกิน"